daisy

REVIEW

น้ำหอมบางขวดไม่ได้หวือหวามาก ไม่ได้มีประวัติหรือแรงบันดาลใจในการสร้างมากมาย ไม่ได้เป็นที่นิยมในวงกว้างแต่เราก็รักเค้า

หากเอ่ยถึง Creed คนต้องนึกถึง Aventus, Green Irish Tweed ถ้า unisex หน่อยก็ Silver Mountain Water, Virgin Island Water ถ้าเป็นผู้ยิ๊ง ผู้หญิงก็ Fleurrismo, Love in White และมีกลิ่น iconic อีกมากมายเอาจริงลองมาแทบทุกกลิ่น ชอบหมดแต่ราคาที่แพงเหลือเกินแถมฝาก็ก๊องแก๊งไม่สมกับการจ่ายเงินครึ่งหมื่นถึงหมื่นกว่าแทบทุกขวด เต๋งเลยเบี่ยงไปหาบ้านอื่น Creed นี่เค้าไม่ได้เป็นน้ำหอม Beast Mode สยบผู้ ล่าเหยื่อสาวแต่อย่างใด เค้ามาในแนวกระซิบอ้อยอิ่งแบบผู้ดีสมความเป็นอังกฤษยุคก่อนจริงๆค่ะ

เต๋งซื้อ Iris Tubéreuse (2014) มาแบบงงๆ เห็นราคาดีปุ๊บ เห็น Tubéreuse ปั๊บก็จัดมาแบบ blind buy และถูกใจมาก คนปรุงก็ Julien Rasquinet สุคนธกรที่รังสรรค์ Zoologist Seahorse นั่นเอง ที่ไม่เคยรีวิว Iris Tubéreuse ทั้งที่ใช้เค้ามาตั้งนานเพราะลืมค่ะ อย่างที่บอก เค้าไม่ได้หวือหวา ตกผู้ ฟุ้ง 3 ตำบลแต่อย่างใด แต่เค้ามีความเก๋ เท่ห์เบาๆ อยู่ในความอังกฤษ เป็นน้ำหอมที่ให้ความรู้สึกถึงดิน น้ำและลม เพราะเค้ามีความธรรมชาติสูงมากแต่ก็มีความเขียวๆน้ำๆและโอโซนิคแบบเคมีแถมมานิดหนึ่ง มีความ airy โปร่งๆ เป็นน้ำหอมที่ทำให้เต๋งเริ่มชอบโน้ตไอริส หลังจากใช้ตัวนี้ก็ไปไอริสต่ออีกเรื่อยๆเลย Iris+tuberose คือคู่ที่สวยงามตัวหนึ่งที่คนมองข้ามหรือคนว่าแก่ แต่ความดอกไม้ม่วงตั้งแต่เปิดที่มาผสมกับความเขียวแฉะของก้านและใบดอกซ่อนกลิ่นนี่เก๋มากมาย Galbanium ก็เขียวขมกำลังดี Violet leaves นั้นทำให้น้ำหอมมีความฉ่ำดินและก็เหมือนการกินแตงกวาที่เพิ่งล้างเสร็จใหม่ๆ เหมือนโน้ต Hyacinth เลย ช่วงกลางซ่อนกลิ่นสวยหวาน นวล ครีมมี่แค่ปลายลิ้น เซ็กซี่เบาๆ ลิลลี่ที่เวลาอยู่พร้อมกับซ่อนกลิ่นมันเพิ่มความชีคได้ดี ลิลลี่ออฟเดอะวัลเลย์ก็มีความบาลานซ์ของโน้ตสีขาวและเขียวได้สมบูรณ์ เชิ้ตออแกนิคคอตตอนราคาสูงปิดแขนหมดจดแต่กระดุมปลดจนจะลงมาถึงสะดืออยู่แล้ว เวลาพูดจาก็ใช้ภาษาผู้ดีแต่โน้มเอียง คนพยายามจะไม่มองแต่ต้องมองจนเห็นเสื้อชั้นในลูกไม้ขาวผลุบๆโผล่ๆมา เหมือนจะเรียบร้อย จะผู้ดีแต่ตั้งใจโชว์ของ Creed Iris Tubéreuse คือให้อารมณ์นั้นเลยค่ะ ความฟุ้งกระจายกลางๆต้องฉีดเยอะๆกลิ่นมันวนๆรอบๆตัวดีในช่วงแรก ฉีดทีไรคนชมทุกที ตอนเปิดคือดีสุดๆจริงๆ ความทนกลางๆเช่นกัน เค้าเป็น skin scent เร็วไปสักนิด รวมๆเต๋งรักกลิ่นนี้มาก คนชอบซ่อนกลิ่นหรือไอริสต้องลองค่ะ บ้าน Creed นี่มีอายุ 262 ปีแต่ฝายังหลุดง่ายเหมือนเดิม ทำไมหนอ ของบางอย่างหากดีสวยงามก็คงไว้ แต่อะไรแย่ๆก็ปรับเปลี่ยนกันได้ ไม่ต้องยึดติดว่าเป็นวัฒนธรรมก็ได้ จบดีกว่าค่ะ เดี๋ยวจะไปเกี่ยวกับเรื่องอื่น เดี๋ยวยาว
2 years ago
If you had my love and I gave you all my trust
Would you comfort me?
And if somehow you knew that your love would be untrue
Would you lie to me?
And call me baby

ใครรู้จักเพลงนี้แสดงว่าเราเป็นแฟน Jennifer Lopez เหมือนกัน สารภาพเลยว่าเทิดทูนและบูชานางก่อนที่คนจะเรียกนางว่า JLo ค่ะ นางใส่เสื้อผ้าอะไร เครื่องประดับแบบไหน ร้องเพลงอะไร เนื้อร้องจำได้หมด น้ำหอมตัวแรกนางออกมาเป็นขวดกลมๆมนๆเหมือนสะโพกของนางที่มีสร้อยเพชรชื่อย่อ ห้อยอยู่ที่คอขวดเราก็ต้องรีบซื้อ รีบใช้ น้ำหอมแบบนี้ในยุคนั้นถือว่าแปลกใหม่มากเพราะเป็นกลิ่นสบู่สะอาดเผยผิวโกลว์ Glow ที่เป็น signature การแต่งหน้าและการดูแลผิวของนางตั้งแต่ปี 2002 จนถึงปัจจุบัน 2022 นางก็ยังขายความโกลว์ แต่น้ำหอมที่ดังเปรี้ยงปร้างที่สุดของนางน่าจะเป็น Still ที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาอีกนิดและคงความสะอาดสะอ้านของชาเอิร์ลเกรย์กับข้าวสารนวลๆ แอ๊บเปิ้ลเขียวๆ และเพิ่มความเซ็กซี่ด้วยดอกไม้ขาว ฟรีเชีย ลิลลี่ออฟเดอะวัลเลย์ มะลิบางๆ น้ำหอมออกมาในปี 2003 ช่วงที่เธอกำลังคบหาดูใจกับ Ben Affleck ขวดรุ่นเก่าๆเค้ามีแหวนที่คอขวดด้วย แบบคงสื่อถึงความรัก มีแหวนหมั้นอะไรทำนองนี้ สารภาพอีกครั้งว่าถอดมาใส่หลายครั้งและภูมิใจกับมันมาก นึกว่าตัวเองกิ๊บเก๋ซะเหลือเกิน มีแหวนเจโล มีชุดจั๊มสูทแบบเจโล น้ำหอม Still Jennifer Lopez ก็ใช้หมดไปไม่รู้กี่ขวด จนนางแต่งงานมาอีก 2 รอบ ได้แหวนหมั้นเพชรชมพู เพชรเหลือง เพชรvvs สี่เหลี่ยม 20 กะรัตราคาเกือบห้าล้านเหรียญ เพชรทุกรูปแบบ แฟนทุกผิวสี ทุกวงการ เต๋งก็ยังวนเวียนกลับมาใช้ Still และเชื่อว่าสาวๆหลายๆคนก็คงเป็นสาวกน้ำหอมกลิ่นนี้เช่นกัน หยิบเร็ว ใช้ง่าย ราคาดี กลิ่นสวยไม่บ่งบอกวัย จะเด็กสาวหรือคนรุ่นแม่ก็ใช้แล้วสวย มั่นใจ ใครบอกไม่ทนนี่ขอเถียง ฉีดไปเลย 10-15 สเปรย์เป็นอย่างต่ำ ขวดไม่ถึงพัน อย่าไปเสียดาย เราต้องหอมค่ะ ที่สำคัญกลิ่นไม่ได้มีความ cheap ใดๆ นี่ฉีดทดลองกลิ่นอีกครั้งเพื่อได้เขียนอย่างแม่นยำ ขวดเก่า ขวดใหม่เอาจริงกลิ่นไม่ต่างกันมากค่ะ ไม่ได้ reformulate หนักๆเหมือนน้ำหอมตัวอื่น ลองตัวละข้างของแขน จะต่างกันแค่ตอนเปิดที่ตัวเก่ามีความชาชัดเจนกว่านิดหนึ่ง พอเบสก็เหมือนกันค่ะ

ตอนแรกคิดนานมากว่าจะรีวิว Still ไปทำไมในเมื่อใครๆก็รู้จัก แต่เอาเถอะ บางคนเก็บอยู่ในตู้จนลืม มีน้ำหอมใหม่เพิ่มพูนแต่เห็นรีวิวเต๋งก็อาจไปรื้อตู้หามาฉีดกันอีกเพื่อระลึกความหลัง ขวดเล็กในรูปคือ version เก่ามีแหวนและใช้ตัวเขียน รุ่นใหม่แหวนหายไป นางยังไม่แต่งงานรอบที่ 4 และตัวหนังสือคำว่า Jennifer Lopez กลายเป็นตัวพิมพ์ไปงั้น ขอโม้นิดหนึ่งตอนสาวๆที่เต๋งเรียนที่อเมริกาเพื่อนๆเรียกว่า Asian JLo ก็แหงล่ะ ใส่ชุด แต่งหน้าเลียนแบบเค้าซะขนาดนั้น วัย 20 กินลาซานย่าทีเป็นถาดๆ กินข้าวต้องมื้อละ 2-3 จาน กินไอติมทีครึ่งถังยังไงก็ไม่อ้วน ตอนนี้หายใจแรง น้ำหนักขึ้นทันทีวันละ 2 โล เจโลเค้า 52 ยังเป๊ะ ของเรา 43 พังหมด แหวนหมั้นที่แท้จริงก็ยัดไม่ลง รู้สึกสงสารนิ้วแหนมๆของตัวเองมาก สิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่คือความทรงจำแรกใช้น้ำหอม Still ตัวนี้ล่ะค่ะ คิดว่าน่าจะเป็นหนึ่งในน้ำหอมที่จะมีติดตู้ตลอดไป ใครมีความทรงจำหรือชอบ Still กันบ้างเอ่ย รอฟังนะคะ
2 years ago
Amouage Reflection น่าจะเป็น Amouage ที่อยู่ในความสนใจเราน้อยที่สุดเพราะตอนได้ลองรู้สึกว่าเค้าขาด Character ของความ Amouage ที่ต้องใหญ่ ต้องเยอะ ชั้นมาถึงแล้ว มองชั้นสิ ชั้นโออ่า ชั้นอลัง คนรักก็รัก คนกลัวก็วิ่งหนี ส่วน Reflection ที่รังสรรค์โดย Maurice Roucel นั้นเค้าสวย น่ารัก แต่ขาดพลังกว่าพี่ๆคนอื่นของบ้าน อย่างไรก็ตาม คนเราอะไรมันจะต้องทาตาดำเมี่ยม ปากแดงทุกวันก็ไม่ใช่ มันต้องมีการผ่อนคลายกันบ้าง จนกระทั่งเวลาผ่านไป ความคิดก็เปลี่ยน

Reflection หรือกระจกเงา(อ่านชื่อทีไรแล้วนึกถึงเพลงชื่อเดียวกันในการ์ตูนมู่หลานทุกที) สะท้อนให้เห็นอีกมุมของบ้านนี้ที่สวย สง่าแต่น่ารักเป็นกันเอง อ่อนหวาน แพง มีสไตล์ น้ำหอมตัวนี้เรตติ้งน้อยสุดในบ้านแต่เต๋งว่าห้ามดูถูกเค้าเด็ดขาดเพราะส่วนผสมของเค้าดีเยี่ยมพรีเมี่ยมเหมือนตัวอื่นๆของบ้าน Amouage คงไม่ปล่อยผ่านออกมาแน่หากไม่สวยพอ

Reflection ออกมาตั้งแต่ 2007 เป็นที่น่าสังเกตว่าน้ำหอมบ้านนี้ timeless คือเวลาผ่านไปก็ไม่เชย เค้าเป็นน้ำหอมเขียวๆขาวๆม่วงๆ คือมีความเขียวเย็นแบบน้ำค้างบนใบหญ้าตอนเช้า ใสแต่ไม่กุ๊กกิ๊ก มีความดอกไม้ขาวที่ไม่ปล่อยพลังเหมือนซ่อนกลิ่น พุด มะลิ เพราะช่วงเปิดนั้นดอกฟรีเซียออกมาแบบละมุน สวยงาม อ่อนหวาน ตามมาด้วยความแป้งแบบน้อยมากแต่พอเหมาะพอเจาะจากดอกไอรีส คือรวมๆเปิดมาเหมือนแตงกวาผสมโซดาและน้ำตาล เต๋งเคยทำร้านอาหารและบาร์ค่ะ ครั้งหนึ่งมีเพื่อนคนเยอรมันมาแนะนำเครื่องดื่มตัวนี้ที่กินตอนสายๆแก้แฮงค์ เริ่มแรกคือฝานแตงกวาให้เป็นแว่นอย่าบางมาก ใส่ในแก้วสัก 3-4 ชิ้น เอาสากอันเล็กบดให้น้ำและความสดชื่นออกมา โรยน้ำตาลทรายแดงบดเพิ่มอีกรอบ อัดน้ำแข็ง เทน้ำโซดาลงด้านบน คนเบาๆ โห สดชื่นเหลือเกินค่ะ ช่วง Top notes ของ reflection ทำให้เต๋งนึกถึงเครื่องดื่มชนิดนี้และผู้ที่มาสอนทำค่ะ 😜 พอความเขียว ความหยดน้ำค้างผ่านไป ดอกแมกโนเลียซึ่งเป็นดอกไม้ขาวที่แจมเขียวอีกแหละค่อยๆเบ่งบานพร้อมกับมะลินัวๆที่ไม่มีความ animalic ใดๆทั้งสิ้น สวย น่าทะนุถนอม ตัวเล็ก เอว 24 พูดเบาๆ นิ้วมือนิ้วเท้าเรียวบาง ชีวิตไม่เคยหยิบจับอะไรจนเข้าวัย 30 ยังมีคนทำให้ทุกอย่าง เป็นคุณนายที่มีสไตล์แท้จริง ก่อนที่จะจบลงกับความวู้ดดี้มากๆ กลิ่นไม้แพงๆสวยๆเหมือนเฟอร์นิเจอร์สแกนดิเนเวียค่ะ โดยรวมแล้วเวลาฉีด Reflection แล้ว ออร่ารอบตัวจะเหมือนใช้สบู่และยาสระผมที่หาซื้อได้เฉพาะในบูติกเก๋ๆหรือโรงแรม 6 ดาวเท่านั้น เสียแต่ว่าหากเปรียบเทียบกับความฟุ้ง ถึก ทนของ Amouage ด้วยกันแล้ว Reflection ยังด้อยกว่าค่ะ ฉีดก่อนนอนตอนเช้าหาย กลิ่นอื่นตื่นมายังอยู่ นี่คือวิธีทดสอบของเต๋งกับน้ำหอมทุกตัวค่ะ ฉีดข้อมือ 2 สเปรย์ก่อนนอน ลองทำดูค่ะ

สรุปว่างดงามละมุนละไม แต่เรื่องหนึ่งที่ทั้งดีและไม่ดีคือขวด ขวดเค้าสวยมากเป็นกระจกสื่อถึงชื่อ Reflection และกลิ่นได้มากๆเลยทีเดียวค่ะ แต่ถ่ายรูปยากมากกกก โทรศัพท์สะท้อนตลอด กว่าจะหามุมได้ เต๋งทั้งลื่น ทั้งหินบาดเท้า กรวดตำเข้าไปด้านใน พยายามหามุมไม่ให้สะท้อนเจอมือ เจอร่างกายตัวเองที่แทบนอนอยู่กับพื้นทรายค่ะ เฮ้อ หวังว่าคงจะถูกใจรูปกันนะคะ
3 years ago
Alien Fusion จากบ้าน Mugler คือเอเลี่ยนที่เราจ้องมานาน ง่ายๆคืออยากได้เพราะสีอย่างเดียว และคิดว่ามันน่าใช้ง่ายกว่าออริจิ

ซึ่งจริงค่ะ กลิ่นอ่อนกว่าแต่ใช่ว่าบอบบางนะคะ เค้าคือดอกส้ม ขิง และแอมเบอร์ดีๆนั่นเอง มีซ่อนกลิ่นมาแจมบ้าง มีไม้จันทร์กับอบเชยให้พอเผ็ดปลายลิ้น โดยรวมแล้วไม่ได้หวือหวามากมาย แต่โอกาสหยิบมาใช้น่าจะมากกว่า ทนและฟุ้งปานกลางค่อนข้างดี ยังคงมีความ Dominique Ropion + Fanny Bal มาให้เห็นได้ชัด ถ้าตัดโน้ตแอมเบอร์ออกคือ Rouge Malachite Armani Privé ได้เลย ราคาไม่แพง ขวดรีฟิลได้อีกต่างหาก ไว้เปิดประเทศจะไปกดเติมตามห้างค่ะ ♥️♥️♥️ 👽🛸👽

รีวิวแบบสั้นแต่รูปมาแบบจัดเต็มค่ะ
3 years ago
นับเป็นไลน์ที่สดชื่นมีน้ำหอมดีๆอยู่หลายตัวไม่ว่าจะเป็น Eau d’Orange Vert ขวดเขียวกลิ่นส้มสวยซ่า หรือสีน้ำเงิน Eau de Citron Noir แต่วันนี้จะมาเล่าเรื่องน้ำหอมขวดแดงสีโปรดของเต๋งค่ะ

Eau de Rhubarbe Écarlate (2016) จากบ้าน Hèrmes นั่นเอง ไลน์นี้เค้าเป็น Cologne เพราะฉะนั้นความทนทานใดๆไม่มีทั้งสิ้น แต่ความฟินช่างมากล้น เพราะเจ้ารูบาร์บนี่หาดมกลิ่นยาก หากินบ้านเราก็ยาก แต่หากใครเคยทานรูบาร์บจะรู้เลยว่าเป็นผลไม้(หรือผักหว่า) ที่เปรี้ยวเข็ดฟัน น้ำตาเล็ด เป็นก้านยาวๆสีแดงๆชมพูๆ ที่ฝรั่งเอามาทำขนม ทำพายต่างๆ แต่เวลาเต๋งไปอยู่เมืองนอก ชาวไทยตัดก้านมาทำแกงส้ม (แกงเหลือง) เก๋ๆค่ะ ก็แน่ล่ะ ผักไทยไม่มี มะนาวเขียวก็แพง ต้องหาของเปรี้ยวมาแกงให้ได้ 3 รสค่ะ

น้ำหอมตัวนี้เปิดมากับความสดชื่นก่อนเลยค่ะ มีโน้ต 3 ตัวตรงเป๊ะ เปิดรูบาร์บเปรี้ยวจี๊ด ก่อนเป็นพวกแบรี่เปรี้ยวๆหวานๆ จบด้วยความมัสกี้ที่นัวและลงตัว เสียดายหายวับไวมาก ต้องอาศัยเติมๆเอา แค่คุ้มค่ามากค่ะเพราะความสวยและกระปรี้กระเปร่าของน้ำหอมที่เป็น unisex ดีเหลือเกิน ใช้ง่ายแต่ไม่โหล ระวังจะตกหลุมรักเค้านะคะ
3 years ago
เชื่อว่าตอนนี้เทรนด์ #เที่ยวทิพย์ กำลังมาแรง
มาค่ะ เต๋งจะพาไปเที่ยวฝรั่งเศสกัน และถ้าจะเที่ยวฝรั่งเศสแบบดั้งเดิมคือต้องไปกับ Guerlain แกร์แล ที่ฝรั่งเส้ดดด ฝรั่งเศส

เร็วๆนี้ได้ Champs-Élysées ขวดดั้งเดิมมาค่ะ เป็นแบบ edt แต่ edt ก็ edt เถอะน้ำหอมยุคก่อนๆมันทนทานพอได้เลยทีเดียว

เต๋งไปปารีสครั้งแรกเมื่อ 15 ปีมาแล้ว ไปคนเดียว ถึงสนามบินก็ยืนต่อแถวที่โต๊ะ information center เพื่อหาทางไปโรงแรม สมัยนั้นต้องอ่านแผนที่กระดาษที่พับไว้จนเล็ก งมๆทางเอาเอง ความที่เราไม่รู้อะไรมาก เราคิดว่าถนน Champs-Elysées คือศูนย์กลางของทุกสิ่งอย่างในปารีส เราอยากหาโรงแรมอยู่เส้นนั้น แต่แหมมันแพงชนิดที่ต้องถูกหวยเลขท้าย 3 ตัวตรงเท่านั้น เลยได้แต่อยู่ถนนไม่ไกลจากที่นั่น แต่ก็เดินมาชองเซลีเซ่จนได้ จำได้ว่าตอนเราไปคือปลายฤดูหนาว ถนนเส้นนี้ไม่ได้พลุกพล่านจนน่ากลัว ปรกติแล้วแถวหน้าช้อปหลุยส์ วิตตองและชาแนลยาวยิ่งกว่าแถวยืนต่อรอตรวจโควิด แต่เอาจริงเต๋งไม่ได้อินกับมันเพราะมันแมสไปหน่อย เรากลับชอบตรอกซอยถนนเล็กๆ แกเลอรี่เก๋ๆ บูติกที่ไม่มีใครรู้จักมากมายหรือคาเฟ่แปลกๆมากกว่า แต่ก็เข้าใจแหละทำไมเค้าถึงตั้งชื่อน้ำหอมตามถนนที่ถือว่าสำคัญที่สุด แพงที่สุด หรูที่สุด ณ ปารีส ถือเป็นการให้เกียรติ flagship store ของเค้าบนถนนเส้นนั้น แล้วเค้าคงนึกถึงบรรยากาศ spring กับ summer ที่ดอกไม้ตางตอนใต้ของฝรั่งเศสเบ่งบาน ตัดและเอามาเพิ่มความสวยงามให้กับเมืองหลวงให้ดูอ่อนช้อยและหรูหราไปพร้อมๆกันอ่ะ ตั้งชื่อน้ำหอมเข้ากับกลิ่นดีค่ะ ชอบอะไรแบบนี้

ว่าด้วยเรื่องกลิ่น ชองเซลิเช่เปิดมากับความสดใส (ละในที่นี้ว่าความสดใสของน้ำหอมที่มต้นฉบับของขวดแรกมาตั้งแต่ปี 1904 นั้นคงไม่ได้สดใสแบบแบ๊วเป็นแน่) เค้าสวยงามแบบลูกพีชดอง ง่ายๆคือบ๊วยนิดๆ ให้อารมณ์วินเทจหน่อยๆเหมือนตึกราบ้านช่องอันโอ่อ่าบนถนน Champs นั่นแหละค่ะ แถมมีเมลอนที่ฮิตมากในช่วงปี 90s และแบรี่ต่างๆทำให้ฉ่ำดีค่ะ อาจเป็นเพราะเต๋งไม่ค่อยอินกับน้ำหอม Fruity Floral สมัยนี้ที่หวานนนน หน่อมแน้มซะเหลือเกิน แต่เต๋งชอบ Fruity Floral แบบชองเซลิเซ่ มันเป็นผลไม้ที่กลมกล่อม แพง สวยและพอดี

อย่างไรก็ตาม จุดขายของเจ้าน้ำหอมชื่อตามถนนคือ base note(s) เค้าค่ะ ที่ดอกไลแลค ดอกมิโมซ่า ดอกลิลลี่ออฟเดอะวัลเลย์ เป็นนางเอกสามใบเถาที่เมื่ออยู่รวมกันแล้วสวย สะอาด ดูดี ออร่าเบาๆที่แผ่ออกมาจากผิว จากต้นคอ จากซอกหน้าอก จากผมนั้นทำให้เรารู้สึกอ้อร้อแต่พองาม จริตกำลังดี ไม่กระโตกกระตาก แล้วจบลงกับวานิลลา แซนดัลวูดตามสไตล์แกร์แลเค้าค่ะ เคยลองน้ำหอมตัวนี้เมื่อ 10 ชาติที่แล้วแต่ลืมๆไปเพราะตอนนั้นจำได้ว่าเค้าแก่ แต่มาวันนี้ดมอีกเค้าสวยค่ะ จมูกเรา อายุเรามันได้ (เราไม่แก่ แต่เรามากประสบการณ์ขึ้น 😜)

ป.ล. Champs-Élysées เค้าเปลี่ยนเป็นขวดกลม Bee Bottle แล้วนะคะ ใครเจอขวดรุ่นนี้เหมือนเต๋งรีบคว้าไว้ค่ะ แล้วจะไม่ผิดหวังเลย I promise.
3 years ago
ได้ขวดเต็มมาแล้ว เขียนรีวิวได้ อันที่จริงเต๋งหลงรัก Jasmin Rouge มาหลายชาติแล้วค่ะ แต่ไม่กล้าเขียนรีวิวกลัวราคาจะขึ้นแต่วันนี้จะมาเล่าถึงความดีงาม ความเซ็กซี่ของน้ำหอมขวดแดงจากบ้าน Tom Ford

Jasmin Rouge ออกมาตั้งแต่ปี 2011 เป็นมะลิที่เผ็ด ร้อนแรงแต่ไม่แรดแบบผู้หญิงชุดขาวแต่ชอบทาปากแดงสมชื่อเค้าค่ะ เพราะเค้าเปิดมากับเครื่องเทศมากมาย อบเชยเอย ลูกกระวานเอย พริกไทยเอย ขิงเอย ผ่านไปสักพัก พอกลิ่นดอกมะลิเฉิดฉาย กระดังงาก็มาแจม ดอกส้มก็หวาน แถมมีกลิ่นสมุนไพรบางๆจากดอก Clary Sage กับ ดอก Broom ด้วย ทำให้กลิ่นดิ้นได้ ไม่น่าเบื่อแบบดอกไม้สาดหน้าตรงๆ ตรงนี้ขอเล่าเรื่อง Clary Sage กับ Sage หน่อยค่ะ กว่าจะรู้ว่ามันคนละอย่างกันคืออายุก็ 30 ไปแล้ว ตอนแรกคิดว่าเจ้าดอก Clary Sage คือ ดอกไม้จากใบ Sage ที่เค้าใส่ในอาหารเยอรมัน อาหารอิตาเลี่ยนหลายตัวเช่น Saltimbocca เป็นต้น(พูดแล้วหิวค่ะ วีล(เนื้อลูกวัว)แผ่นบางๆ ห่อด้วย Parma Ham บางสูตรแอบมีชีส แล้วกลัดด้วยใบ sage เสจเพิ่มความหอม เอาไปผัดในไวน์ขาว โอ้ยดีมาก) แต่จริงๆ ใบเสจทำกับข้าวคือคนละเรื่องกับดอก Clary Sage เลยนะคะ ดอกมันจะกลิ่นเบากว่า มีความเขียวน้อยกว่า และคนนิยมนำมาทำน้ำมันหอมกัน

กลับมาที่ แจสแม คูจค่ะ แม่ดอกมะลิสีแดงนี่ มะลิ+กระดังงาอยู่เต็มเป็นแม่งานตลอดจนจบนะคะ บางทีก็ได้ความเขียวๆจากมะกรูดมาด้วย แปลกดี มีความเปรี้ยวแค่เสี้ยวนึง แต่ตอนจบมีแอมเบอร์ มีหนังอ่อนๆ วูดดี้ สวยงามสไตล์ Tom Ford รุ่นเก่าๆ บอกตรงๆว่าเต๋งไม่ชอบ Tom Ford Private Line ตัวใหม่ 4-5 ตัวที่ผ่านมาเลย กลิ่นไปเร็วเกินไป ไม่ฟุ้งไม่ว่าแต่ถ้าไม่ทนพอกับสเปรย์ฉีดจักแร้จาก 7 เรารู้สึกเสียดายเงิน ถ้าเหลือกินเหลือใช้อาจซื้อมาเล่นๆ ฉีดสัก 30 สเปรย์ เติมทุกชั่วโมงแต่ตอนนี้ก่อนซื้อน้ำหอมจะคิดมากสักนิด จึงอยากจะเก็บ Tom Ford รุ่นเก่าๆมากกว่า

Jasmin Rouge ไม่ผิดหวังเลย เย้ายวน ซ่อนเงื่อน มีเสน่ห์ ถึงจะไม่ Beast mode คือกระจายทั้งตำบลแต่ถือว่าโอเค เราได้กลิ่นตัวเองตลอดและมีความทนมากกว่ารุ่นใหม่ๆ เต๋งยังไม่เคยลองตัว edt ของเค้านะคะ ไว้มาเล่าอีก ตอนนี้ขอไปเห่อกับน้ำหอมที่ไม่ได้ออกใหม่ล่าสุดแต่ขึ้นแท่นน้ำหอมมะลิคลาสสิคในตู้ไปแล้วขวดนี้ค่ะ ♥️

น้ำหอมมะลิในใจของคุณคืออะไรกันบ้างเอ่ย
3 years ago
ใครหนอช่างตั้งชื่อน้ำหอมขวดม่วงเท่ห์ เก๋ ล้ำ ออกมาตั้งแต่ปี 2005 แต่ปัจจุบันก็ยังดูล้ำอยู่

สำหรับกลิ่น Alien จากบ้าน (Thierry) Mugler นั้นไม่ต้องพูดเยอะเพราะนางคือแม่ทุกสถาบัน ขวดนี้เก่าพอสมควร ถึก ทน ฟุ้ง ลงมาจอดที มนุษย์โลกต้องเหลียวหลังและคารวะ มีโน้ตแค่ 3 ตัวแต่กินใจเราเหลือเกิน มะลิที่เป็นมะลิ๊ มะลิ สะใจมาก มะลิแบบผสมเหล็ก ไม่เหมือนของสดจากสวน มะลิแบบสาวพ้นวัยเบญจเพส สาววัย 30,40 หรือ 50 แบบผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร โน้ตแอมเบอร์ที่อุ่นทำให้กลิ่นสุดจะเซกซี่ วูดดี้โน้ตไม้นานาพรรณเพิ่มความขลัง ลึกลับ ปล่อยให้โน้ตเปิดคลายสักนิดแล้วโคดเย้ายวน ต้องฉีดตอนอารมณ์นิ่งๆไม่งั้นอาจสร้างความปวดหัวได้

ใช้ยากถ้าใจไม่ถึงและอากาศร้อน มันสร้างมาเพื่อออกงานกลางคืนหรือไปเต้นรำ ชุดรัดรูปแบบห้ามหายใจแรง ผมรัดตึง ปากแดงก่ำ จิตมั่นคงและมั่นใจ ร่างกายแข็งแรงพร้อมรับทุกสถานการณ์เพราะกลิ่นจะติดตัวไปหลายชั่วโมง นานๆทีจะหยิบมาใช้แต่ฉีดทีไรเสริมพลังทุกครั้งค่ะ
3 years ago
คำว่า Shalimar นี่คนจะนึกถึง Vanilla ทันที อาจมีมะกรูดมะนาวมาด้วยสักนิดและสาบตามสไตล์ Guerlain

หากหาอ่านรีวิวที่มีหลายพันเรื่อง (ก็เค้าออกมาตั้งแต่ปี 1889 อ่ะนะ) ก็จะพบแต่สิ่งดีๆสัก 90%จากคำบอกเล่า ก็ของเค้าดีจริงๆ อาจจะมีความโบราณสักนิดสำหรับจมูกคนหลายคน ใช้ยากสักหน่อย Shalimar จึงออกทายาทมาหลายรุ่น เติมนั่นนิด เอานี่ออกหน่อยเผื่อถูกปาก ถูกจมูกของสาวหลายๆวัยหลายๆบุคลิกหรือแม้กระทั่งชายหนุ่มทั้งแมนทั้งแอบก็เป็นสาวก Shalimar กันทั่วโลก

สำหรับรุ่นนี้ Soufflé d’Oranger (2019) นั้นเต๋งว่ามันแตกต่างจากตัวอื่นๆของ Shalimar มาก จะว่าเค้าไม่ดีก็ไม่ใช่ แต่เธอไม่ได้เป็นลูกหลาน Shalimar แน่นอน อาจเป็นญาติห่างๆ ที่ครอบครัวย้ายจากปารีสไปอยู่โมรอคโคมาหลายสิบปีเพราะเธอมีความส้มที่ชัดเจน ผล ดอก ใบมาเต็ม มีความหวานซ่อนเปรี้ยวที่อ่อนเยาว์ลงมามาก ดอกไม้ขาวที่เสริมทัพก็ไม่รุนแรง ทุกอย่างลงตัว blindbuy ได้เลยเพราะไม่ยากเกินเอื้อม แปลกประหลาดอะไร มีความมัสก์มากกว่าตัวอื่นๆ ตอนจบก็มี sandalwood ตามสไตล์ของแบรนด์ ใช้ง่ายแต่ไม่ดาษดื่น เหมาะกับอากาศร้อนๆ เพราะตัวออริจินั้นใช้ตอนร้อนจะมึนๆ แม่ Soufflé d’Oranger นี่สดใสและทนพอสมควรเลยค่ะ

และที่สำคัญดูความสวยของขวดสิคะ สวยจริงๆ จับแล้วจับอีก จับทุกครั้งก็ฉีดทุกครั้งซะด้วยสิ
3 years ago